รวบครอบครัวชาวปาเลสไตน์ 4 คนคาอพาร์ตเมนต์ย่านหนองจอก หลังสืบสวนพบมีการติดต่อเชื่อมโยงกับผู้ต้องสงสัยชาวตุรกีที่จับกุมได้ พบอุปกรณ์ประกอบระเบิดเพียบ คุมตัวสอบเครียดในค่ายทหาร ยังไม่แน่ชัดว่า เกี่ยวข้องกันหรือไม่ ขณะที่ตำรวจ-ทหารสอบเค้นหนุ่มตุรกีทั้งคืน แต่ยังไม่ยอมเปิดปากให้ปากคำมากนัก เลยเอาตัวไปตรวจดีเอ็นเอเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่เป้ใส่ระเบิดศาลท้าวมหาพรหม ถ้าตรงกันเป็นหลักฐานสำคัญอีกชิ้นว่าผู้ต้องสงสัยไม่เป็นมือระเบิดเองก็อยู่ในขบวนการระเบิดครั้งนี้ด้วย ส่วนตำรวจ สน.หนองจอก ตรวจค้นห้องพักในอพาร์ตเมนต์อีกแห่ง พบปุ๋ยยูเรียและดินดำที่สามารถใช้ผสมทำระเบิดได้ เจ้าของห้องเป็นชายชาวต่างชาติลักษณะเหมือนแขกขาวแต่หายตัวไปแล้ว ด้าน “สมหวัง” รองประธาน นปช. ร่วมดีใจจับผู้ต้องสงสัยได้ ยันพร้อมจ่าย 2 ล้านตามที่ประกาศไว้
กรณีคนร้ายก่อเหตุวางระเบิดบริเวณศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ เมื่อช่วงค่ำวันที่ 17 ส.ค.เป็นเหตุให้ชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเสียชีวิต 20 ราย และได้รับบาดเจ็บกว่า 100 ราย และเหตุระเบิดใกล้ท่าเรือสาทร ชุดสืบสวนตำรวจหลายหน่วยร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายชาวต่างชาติ ลักษณะคล้ายแขกขาว จนได้ข้อมูลว่า คนร้ายกบดานอยู่ที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ เลขที่ 134/5 ปากซอยเชื่อมสัมพันธ์ 11 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กทม. โดยเช่าไว้ถึง 5 ห้องประกอบด้วยห้อง 404 409 410 411 และ 412 จึงบุกเข้าปิดล้อมตรวจค้นจับกุมนายอาเดม การาดัค อายุ 47 ปี หรือชื่อตามหนังสือเดินทางตุรกีที่พบในที่เกิดเหตุว่า นายบิลา มูฮัมหมัด อายุ 47 ปี ตรวจค้นตามห้องต่างๆที่กลุ่มผู้ต้องสงสัยเช่าไว้ ปรากฏว่าพบอุปกรณ์การประกอบระเบิดจำนวนมาก โดยเฉพาะบอลแบริ่งขนาด 0.5 ซม. ตรงกับเหตุระเบิดศาลท้าวมหาพรหมและท่าเรือสาทร และหนังสือเดินทางประเทศตุรกีปลอมอีก 250 เล่ม จึงคุมตัวพร้อมของกลางไปสอบสวนที่กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11)
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ส.ค. ที่กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) ถนนอำนวยสงคราม แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. ที่ควบคุมตัวนายบิลา มูฮัมหมัด อายุ 47 ปี ยังไม่ทราบสัญชาติแน่ชัด เนื่องจากผู้ต้องหายังไม่ยอมเปิดปากให้การ แต่คาดว่าเป็นชาวตุรกี ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมพร้อมอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมากที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ บรรยากาศบริเวณด้านหน้า พัน.ร.มทบ.11 มีกำลังเจ้าหน้าที่ทหารสับเปลี่ยนหมุนเวียนกำลังดูแลพื้นที่อย่างเข้มงวด โดยมีผู้สื่อข่าวจำนวนมากมาเฝ้าสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหว แต่เจ้าหน้าที่อนุญาตให้อยู่ได้แต่ด้านหน้าเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความคืบหน้ากรณีทหารและตำรวจควบคุมชายต่างชาติที่เป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวกับเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารได้สอบปากคำผู้ต้องสงสัยรายนี้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา โดยบันทึกคำให้การไว้ทั้งหมดอย่างละเอียด ซึ่งในวันนี้ (30 ส.ค.) เจ้าหน้าที่จะสอบปากคำเพิ่มเติมอีก ทั้งเรื่องการเช่าห้องพักและอุปกรณ์ประกอบระเบิดต่างๆที่พบภายในห้องพัก รวมถึงพาสปอร์ตปลอม อีกทั้งอาจเกี่ยวข้องกับการดำเนินการค้ามนุษย์ด้วยหรือไม่ เจ้าหน้าที่จะนำกล้องวงจรปิดของหอพักและบริเวณโดยรอบหอพักไปตรวจสอบด้วยว่า มีบุคคลที่เดินเข้าออกภายในหอพักอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะผู้ที่มาเช่าห้องพักว่าเป็นใคร
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในชั้นนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่ตัดประเด็นหนึ่งประเด็นใดทิ้ง เพราะต้องสอบสวนอีกหลายประเด็น เนื่องจากสามารถนำมาเกี่ยวโยงกันได้หมด ล่าสุดเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปตรวจดีเอ็นเอ เพื่อเปรียบเทียบกับเศษกระเป๋าเป้ใส่ระเบิดที่เหลือหลังเกิดระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม ถ้าดีเอ็นเอตรงกันก็เป็นที่แน่ชัดว่า ผู้ต้องสงสัยเป็นผู้วางระเบิดหรือเคยสัมผัสเป้ใส่ระเบิดของกลางสำคัญในคดี ส่วนตัวชายผู้ต้องสงสัยนั้นขณะนี้ยังถูกควบคุมตัวอยู่ใน กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 (พัน.ร.มทบ.11) อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ในฐานความผิดคดีความมั่นคง
พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์การเผยแพร่ภาพเสื้อเกราะติดระเบิดว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการควบคุมตัวชายชาวต่างชาติ ตามที่มีการเผยแพร่ภาพข่าวต่างๆในโซเชียลมีเดียอย่างแพร่หลายขณะนี้ ทางศูนย์ติดตามสถานการณ์ คสช.ขอแจ้งว่า ภาพทางการในการแถลงการณ์ร่วมระหว่างตนและ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เกี่ยวกับการจับกุมผู้ต้องสงสัยวางระเบิดที่สี่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทรผ่านโทรทัศน์รวมการ เฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา มีเพียง 4 ภาพเท่านั้นคือ ภาพอุปกรณ์ประกอบระเบิดและพาสปอร์ตปลอม นอกเหนือจากนั้นเป็นภาพของสื่อมวลชนเองทั้งสิ้น จึงเรียนมาเพื่อทราบ และขอความร่วมมือประชาชนระมัดระวังสำหรับการวิจารณ์และเผยแพร่ หลีกเลี่ยงการนำไปเชื่อมโยงต่อประเด็นใดประเด็นหนึ่งที่อาจส่งผลกระทบทางลบต่อประเทศชาติ
ต่อมาเวลา 10.00 น. ที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ เลขที่ 134/5 ปากซอยเชื่อมสัมพันธ์ 11 ถนนเชื่อมสัมพันธ์ แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก กทม. สถานที่จับกุม คนร้ายชาวตุรกีที่เกี่ยวโยงคดีระเบิดราชประสงค์และท่าเรือสาทร ยังคงมีสื่อมวลชนจำนวนมากสนใจมาเฝ้าทำข่าว นอกจากนักข่าวไทยแล้วยังมีนักข่าวต่างประเทศ เช่น นักข่าวญี่ปุ่นและอังกฤษ สนใจสอบถามในประเด็นการเข้าพักของกลุ่มผู้ต้องหา และพยายามหาความเชื่อมโยงของกลุ่มคนร้ายกับกลุ่มอื่นๆว่า เกี่ยวข้องกับชาวตุรกีหรือชาวอุยกูร์หรือไม่
นายธนากร วีวรรณากร อายุ 60 ปี ผู้ดูแลอาคารกล่าวว่า ตนอยู่ที่นี่มานานกว่า 10 ปีแล้ว เจ้าของมีเชื้อสายเป็นชาวตุรกีสร้างห้องพักกว่า 50 ห้อง ปัจจุบันเปิดให้บริการเพียง 30 ห้อง เมื่อปี 57 มีชาวตุรกีเข้ามาเปิดใช้บริการแบบครอบครัวมากกว่า 20 คน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อยู่กันตามปกติ ไม่มีปัญหากับผู้ใดและอัธยาศัยดี กระทั่งเมื่อต้นปี 58 พากันออกไปพักอาศัยที่อื่น หลังจากนั้นช่วงต้นเดือน มิ.ย.มีชายชาวตุรกี 2 คน เข้ามาเปิดใช้บริการ พฤติกรรมชอบเก็บตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ออกจากห้องไม่นานก็เข้าไปเก็บตัว 1 ในนั้นตำรวจจับได้แล้วแต่ก่อนเคยไว้หนวดเคราและผมหยิกยาวจนถึงท้ายทอย แต่ระยะหลังตัดผมและโกนเคราเรียบร้อยเปลี่ยนเป็นคนละคน ไม่ทราบว่าเขาโกนเคราและตัดผมทำไม
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามผู้พักอาศัยคนหนึ่งเผยว่า ตนมาอยู่ที่อพาร์ตเมนต์ได้ 1 เดือน ทราบว่ากลุ่มนี้มี 2 คน ลักษณะเป็นชาวต่างชาติ คนหนึ่งเป็นชายร่างท้วมผิวดำแดงมักเดินทางเข้าออก ส่วนชายที่ถูกจับเป็นคนเก็บตัว จะออกจากห้องเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆคล้ายกับว่า ออกมาสูดอากาศแล้วรีบกลับเข้าห้องไป เป็นคนที่มีบุคลิกเข้มๆไม่คุยกับใคร ไม่มองหน้าใคร ก่อนหน้าที่คนร้ายจะถูกจับได้จะไว้เครายาว แต่น่าแปลกใจว่า ระยะหลังตัดเคราทิ้ง ซึ่งสอดคล้องกับช่วงหลังเหตุการณ์ระเบิดที่ราชประสงค์ คล้ายเป็นการอำพรางตัว เปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่
ส่วนผู้อยู่อาศัยหญิงอีกคน เผยเพียงสั้นๆว่า นักข่าวมาเยอะแล้วถ่ายรูปสัมภาษณ์ผู้เข้าพัก อาจจะทำให้พวกเขาไม่ปลอดภัย เพราะตำรวจบอกว่า คนร้ายยังมีหลายคนยังหลบหนีอยู่ พยานที่พักแห่งนี้ยังต้องอยู่อีกนาน หากเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอใครจะรับผิดชอบ
ต่อมาเวลา 11.00 น. ร.ต.ท.นิติพนธ์ วันแก่น รอง สวป.สน.หนองจอก รับแจ้งเหตุพบชายชาวต่างชาติรูปพรรณสัณฐานคล้ายบุคคลต้องสงสัยก่อเหตุลอบวางระเบิดบริเวณศาลพระพรหมใกล้แยกราชประสงค์ หลบซ่อนตัวอยู่ที่ต้นคูนแมนชั่น เลขที่ 99/99 ซอยเชื่อมสัมพันธ์ 3 แขวงกระทุ่มราย เขตหนองจอก จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.หนองจอก อพาร์ตเมนต์ดังกล่าวสูง 5 ชั้น เนื้อที่กว่า 1 ไร่ มีรั้วรอบขอบชิด ปกติจะเปิดให้บริการบุคคลทั่วไปและนักศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ค่อนข้างเข้มงวดต่อผู้เข้ามาเปิดห้องพัก จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบชายต้องสงสัย 2 ราย รายแรกลักษณะคล้ายชาวเมียนมาเดินเข้าออกตามปกติเป็นประจำ ส่วนอีกรายเป็นชาวต่างชาติไม่พบพิรุธเช่นกัน
สอบสวนนิติบุคคลผู้ดูแลอาคารให้การว่า ปกติสถานที่ดังกล่าวค่อนข้างเข้มงวดกวดขันเรื่องผู้เข้ามาเปิดใช้บริการห้องพัก ส่วนใหญ่จะเป็นพนักงานบริษัทเอกชนที่ส่งมา และนักศึกษาระดับชั้นปริญญาตรีขึ้นไปโดยมีผู้ปกครองนำเอกสารมายืนยันอย่างแน่ชัด ส่วนบุคคลต้องสงสัยทั้ง 2 คน ขอยืนยันว่าเป็นเพียงผู้เข้ามาใช้บริการตามปกติ รายแรกเป็นชาวเมียนมา เป็นพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของประเทศญี่ปุ่น ถูกส่งตัวมาทำงานในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งโรงงานดังกล่าวมักจะส่งพนักงานเข้ามาใช้บริการอยู่เป็นประจำ ส่วนชาวอังกฤษประกอบอาชีพเป็นครู สอนอยู่ย่านมีนบุรีและหนองจอก เข้าพักอาศัยได้ประมาณ 2 เดือน ทางสถานศึกษาส่งตัวเข้ามาใช้บริการเช่นกัน
ต่อมาเวลา 12.40 น. พ.ต.อ.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล รอง ผบก.น.3 พ.ต.อ.กัญชล อินทราราม ผกก.สน.มีนบุรี พ.ต.ท.อดิศักดิ์ ชูพันธ์ รอง ผกก.ป.สน.มีนบุรี พ.ต.ท.ปิติพงษ์ มณฑา รอง สวป.สน.มีนบุรี เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.มีนบุรี และ รอ.วัชร อุทรชัย หัวหน้าชุดปฏิบัติการ มีนบุรี และทหารสังกัด ร.2 พัน.2 รอ.กว่า 40 นาย ร่วมกันนำหมายศาลจังหวัดมีนบุรีที่ 317/2558 ลงวันที่ 30 สิงหาคม 2558 เข้าตรวจค้นหอพักไมมูณา การ์เด้นโฮม เลขที่ 40/11 ซอยราษฎร์อุทิศ 25/8 ถนนราษฎร์อุทิศ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี หลังจากเมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 29 ส.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.น.3 ร่วมกันตรวจค้นหอพักดังกล่าวพบว่าในห้องเลขที่ 9106 ชั้น 1 มีถุงปุ๋ยยูเรียจำนวน 2 ถุง และดินเทาจำนวนหนึ่งสามารถนำไปผสมประกอบระเบิดได้ เจ้าของห้องเป็นหญิงคนไทย แต่หายไปจากห้องไม่กลับมาหลายวันแล้ว
หลังตรวจค้นประมาณ 2 ชม. พ.ต.อ.สุศักดิ์ ปรักกมะกุล รอง ผบก.น.3 ฐานะหัวหน้าชุดตรวจค้นซอยราษฎร์อุทิศ 25/8 เรียกตรวจแถวสรุปผลการทำงาน ผู้ปฏิบัติรายงานว่า เข้าตรวจค้นทั้งสิ้น 33 ห้อง พบว่าที่ห้อง 9102 พบหัวแร้งบัดกรี 1 อันจึงส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบ และมีบางห้องยังไม่สามารถเข้าตรวจสอบได้เพราะเจ้าของไม่อยู่ รอง ผบก.น.3 จึงมอบหมายให้ชุดปฏิบัติงานรอจนเจ้าของกลับมา และกล่าวขอโทษผู้พักอาศัยว่า สืบเนื่องจากเคยมีเหตุระเบิดมีผู้เสียชีวิตเมื่อ 2 ปีก่อนใกล้ที่พักแห่งนี้ และเมื่อวันที่ 29 ส.ค.58 จับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นมือระเบิดย่านหนองจอกอยู่ไม่ไกลจากที่พักแห่งนี้ จึงจำเป็นต้องเข้าตรวจค้นตามยุทธศาสตร์เอกซเรย์พื้นที่ต้องสงสัย ประกอบด้วยที่พัก หอพัก อพาร์ตเมนต์ แมนชั่น โรงแรมต้องสงสัย มีหมายค้นศาลมาประกอบ ขอขอบคุณที่ให้ความร่วมมืออย่างดี พร้อมทั้งฝากให้ผู้ประกอบการปฏิบัติตามกฎด้วยการขอบัตรประจำตัวเอกสารสำคัญของผู้เข้าพัก เพื่อให้ทางการใช้ตรวจสอบ และให้ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับบุคคลต้องสงสัยเป็นหูเป็นตาแก่เจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยกันป้องกันเหตุต่อไป
ด้านผู้ดูแลอพาร์ตเมนต์เปิดเผยว่า เหตุที่มีชาวต่างชาติเข้าพักจำนวนมากเพราะตรงข้ามกันมีสุเหร่าอัลมาดานี มีนบุรี เป็นสุเหร่ามีความสำคัญระดับโลก มักมีการประชุมกันของผู้นับถืออิสลามครั้งสำคัญๆ มีคนมาร่วมงานประมาณ 3,000 คน จึงมีชาวต่างชาติต้องการที่พักจำนวนมาก สำหรับที่แห่งนี้เปิดให้บริการมาได้ 3 ปีไม่เคยมีเหตุร้ายใดๆ และยินดีให้ความร่วมมือกับตำรวจ ส่วนผู้พักอาศัยชาวมุสลิมคนหนึ่งกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การที่มุสลิมต่างชาติมาอาศัยในพื้นที่แล้วออกไปก่อเหตุร้าย เป็นภาพที่ไม่ดีเลย ส่งผลให้คนมองว่ามุสลิมโหดร้าย มาทำอย่างนี้ไม่ดีเลย อยากให้เลิกการกระทำเสีย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงหอพักไมมูณาพากันพูดถึงเหตุการณ์ หลังจากมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวคนร้ายที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ว่า มีชายชาวต่างชาติ ผิวขาว สวมกางเกงขาสามส่วน เสื้อยืด ผมรองทรง ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังใบหน้า สะพายเป้สีดำขนาดใหญ่ ปั่นจักรยานออกมาจากหอพักไมมูณาไปตามถนนราษฎร์อุทิศมุ่งหน้าหนองจอกแล้วไม่กลับมาอีกเลย 1 ในชาวบ้านเปิดเผยว่า เคยเห็นชายคนดังกล่าวปั่นจักรยานเข้าออกหอพักบ่อยครั้ง แต่ไม่มีใครรู้จัก ด้านแม่ค้าขายผ้าหน้าปากซอยราษฎร์อุทิศ 25/8 เปิดเผยว่า ตนเคยเห็นชายชาวต่างชาติที่ถูกจับกุมไปเมื่อวานเดินทางมาพบเพื่อนชาวต่างชาติที่พักอยู่หอไมมูณาบ่อยๆ แต่ลักษณะของชายคนดังกล่าวไว้ผมหยิกยาว หนวดเครารุงรัง ส่วนชายชาวต่างชาติ 2 คนที่มาพบผิวขาวหน้าตาดีทั้งคู่ พูดกับคนไทยด้วยภาษาอังกฤษ แต่พูดกันเองด้วยภาษาที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ภายหลังจากมีการจับกุมตรวจค้นที่หนองจอกก็ไม่พบชาวต่างชาติทั้ง 2 คนอีกเลย
มีรายงานว่า ในการตรวจค้นห้องพักอีกแห่งย่านหนองจอกเมื่อช่วงดึกวันที่ 29 ส.ค. ที่มีข้อมูลเชื่อมโยงกับนายบิลา มูฮัมหมัด ผลตรวจค้นห้องพักอีกแห่งใกล้ๆกัน พบครอบครัวชาวปาเลสไตน์ 4 คน เจ้าหน้าที่ถึงผงะเมื่อเจอดินระเบิดร้ายแรงจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ภายในห้องพัก พร้อมอุปกรณ์ระเบิด แบตเตอรี่ ซิมโทรศัพท์มือถือ และปุ๋ยยูเรีย ส่วนผสมดินระเบิด 3 กิโลกรัม เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวทั้งหมดไปสอบสวน สืบสวนข้อมูลพบมีความเชื่อมโยงการติดต่อเช่าพักห้องที่เกิดเหตุ น่าเชื่อเป็นจุดประกอบระเบิดโดยแยกชิ้นส่วนอุปกรณ์ระเบิดและปุ๋ยยูเรีย เพื่อป้องกันการเข้าตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ หลังพบของกลางควบคุมตัวทั้ง 4 คนพร้อมของกลางไปสอบสวนที่ พัน ร.มทบ.11
มีรายงานว่า ชุดสืบสวนนครบาลและกองปราบปรามได้กระจายกำลังเข้าตรวจค้นเป้าหมายที่พักหลายแห่งที่มีข้อมูลเชื่อมโยงการเข้าตรวจค้นจับกุมนายบิลา มูฮัมหมัด อายุ 47 ปี ผู้ต้องหาชาวตุรกี เนื่องจากมีข้อมูลเชื่อมโยงการตระเตรียมวางแผนเพื่อก่อเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ โดยมีกลุ่มชาวต่างชาติ 11 เป้าหมายในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อขยายผลหาผู้ที่เกี่ยวข้องและมือระเบิดที่ขออนุมัติหมายจับกุมไปแล้ว
ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี ผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) พ.ต.อ.ประเสริฐ พัฒนาดี รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง ผบก.จร. พ.อ.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าฝ่ายกฎหมาย หน่วยเฉพาะกิจปฏิบัติการ คสช. พร้อมด้วยชุดสืบสวนคลี่คลายคดีระเบิดส่วนของกองปราบปราม ร่วมประชุมสรุปผลการปฏิบัติการหลังจับกุมผู้ต้องหาคดีระเบิดพร้อมวางแนวทางการสืบสวน ทั้งนี้มีรายงานว่า ที่ประชุมได้มีการแบ่งงานให้แต่ละกองกำกับการทำหน้าที่สืบสวนร่วมกับตำรวจนครบาลออกหาข่าวจากกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมในบริเวณอพาร์ตเมนต์ของผู้ต้องหา เพื่อขยายผลในกรณีที่อาจจะยังมีผู้ร่วมขบวนการหลงเหลืออยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชุดสืบสวนกองปราบฯกำลังเร่งตรวจสอบซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือที่ยึดได้จากที่เกิดเหตุเพื่อขยายผลถึงบุคคลอื่นๆที่อาจจะเกี่ยวข้องกับขบวนการ รวมทั้งเร่งตรวจสอบหนังสือเดินทางโดยให้ร่วมกับสถานทูตตุรกีเพื่อหาแหล่งที่มาที่ไปและข้อมูลหมายเลขในหนังสือเดินทางด้วย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดของอาคารที่พักของผู้ต้องหาช่วงเวลาเกิดเหตุยังไม่พบมีผู้ต้องสงสัยรายอื่นปรากฏ ทั้งนี้กองปราบฯได้ประสานงานกับ สน.มีนบุรี เพื่อให้ติดตามตัวผู้เปิดห้องเช่าเลขที่ 9106 อาคารไมมูณา การ์เด้นโฮม ซอยบุญยะบา แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี มาสอบสวน เนื่องจากเจ้าของหอพักดังกล่าวได้ให้การกับตำรวจว่ามีหญิงไทยคนหนึ่งใช้ชื่อว่า “ไมซาเลาะ” อายุประมาณ 30-35 ปีเป็นคนมาเปิดห้องเช่าไว้
สำหรับห้องพักที่อาคารไมมูณา การ์เด้นโฮม แห่งนี้ตำรวจเข้าค้นเมื่อคืนที่ผ่านมาหลังจากผู้ต้องหาระบุว่าเป็นจุดซุกซ่อนวัตถุระเบิด ผลตรวจค้นพบปุ๋ยยูเรีย ตราเรือไวกิ้ง สูตร 40-0-0 ผงสีขาว ดินเทา 2 ขวด กระป๋องขนาด 12×7 เซนติเมตร 6 กระป๋อง สายไฟสีดำ หลอดไฟฟ้าประดับต้นไม้ สายไฟสีน้ำเงิน นาฬิกาข้อมือ 4 เรือน นาฬิกาตั้งโต๊ะ 1 เรือน นอต 1 ห่อ กล่องวิทยุสื่อสาร กล่องเปล่าพลาสติก รถบังคับ และกระเป๋าเป้ใส่หนังสือ เจ้าหน้าที่ยึดอุปกรณ์ทั้งหมดไปตรวจสอบ ทั้งนี้ ระหว่างการตรวจค้นยังไม่พบนางไมซาเลาะ เจ้าของห้อง ซึ่งขณะนี้ตำรวจกำลังติดตามตัวอย่างเร่งด่วนเพราะเป็นที่แน่นอนว่า นางไมซาเลาะน่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับขบวนการวางระเบิดครั้งนี้
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่จะเดินหน้าสอบสวนชายชาวต่างชาติที่ถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 29 ส.ค. กรณีต้องสงสัยว่า เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร เบื้องต้นคาดว่า สาเหตุไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับการก่อการร้าย แต่เป็นเรื่องความเจ็บแค้นส่วนตัว อาจจะเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่เคยทลายแก๊งปลอมพาสปอร์ตก่อนหน้านี้ อาจเป็นกลุ่มที่อาจจะใกล้เคียงกับกลุ่มที่เราเคยควบคุมตัวไว้ และอาจเกิดความไม่พอใจที่เราดำเนินการกับพวกเขา ญาติพี่น้องเขา ดังนั้น ต้องใช้ความระมัดระวังในการสืบสวน เพื่อไม่ให้สาเหตุการโกรธเคืองขยายผลไป หลักฐานทั้งหมดต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เขาเป็นคนทำแน่นอน เห็นพาสปอร์ตปลอมเป็นตั้งประมาณ 200 เล่มมั้ย เป็นกระบวนการในการนำคนมาแล้วแปลงสัญชาติส่งไปยังประเทศที่สาม เดิมเป็นกระบวนการนี้อยู่ แต่เราไปทลายกระบวนการนี้ก็น่าจะมีความโกรธแค้นทำให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นได้
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวต่อว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นคนเดียวกันกับผู้ที่วางระเบิด หรือเป็นหนึ่งในกระบวนการเท่านั้น จะเห็นว่ายังมีความเป็นไปได้ทั้ง 2 ด้าน โดยจะสอบสวนข้อมูลการใช้โทรศัพท์ในวันเกิดเหตุ เพื่อเชื่อมโยงถึงบทบาทของผู้ต้องสงสัยดังกล่าว รวมถึงการสืบสวนอีกหลายจุดเพิ่มเติม และทำการพิสูจน์สัญชาติของชายต่างชาติคนดังกล่าว สำหรับการจับกุมผู้ต้องสงสัยเป็นการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ ตามข้อมูลและหลักฐานประกอบต่างๆที่พบระหว่างการตรวจค้นและจับกุม ทำให้เชื่อว่าเป็นกลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุ จุดเริ่มต้นมาจากการสืบทางโทรศัพท์ และข้อมูลทางการข่าวอีกส่วนหนึ่ง ขณะที่ยังพบพยานหลักฐานสำคัญคือ ชิ้นส่วนของลูกปืนและฝักแคระเบิด รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบระเบิดอีกหลายประเภท จะต้องตรวจสอบทางเคมีต่อไป แต่เบื้องต้นพิจารณาจากภายนอกพบว่า ชิ้นส่วนฝักแคระเบิดตรงกับระเบิดที่ท่าเรือสาทร ส่วนที่ราชประสงค์นั้นยังไม่ชัดเจนเพราะระเบิดเผาไหม้หมด อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปกรณ์บางส่วนที่ชิ้นส่วนตรงกับเหตุระเบิดทั้งที่ราชประสงค์และท่าเรือสาทร
พล.ต.ท.ประวุฒิยังกล่าวว่า จนถึงขณะนี้ผู้ต้องหายังไม่ให้การรับสารภาพ เบื้องต้นยังไม่สามารถระบุชื่อ สัญชาติที่แท้จริงของผู้ต้องหาได้ ให้การเพียงแต่ว่ามาจากต่างประเทศประเทศหนึ่ง เจ้าหน้าที่ได้จัดหาล่ามทั้งภาษาอังกฤษและล่ามที่ภาษาใกล้เคียงกับผู้ต้องหาแล้ว ยังเร็วไปที่จะระบุได้ว่าผู้ต้องหารายนี้ทำหน้าที่อะไร คาดว่ามีผู้ร่วมขบวนการอีกจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จัดชุดเฝ้าติดตามกลุ่มนี้แล้ว คาดว่าน่าจะมีคนไทยเกี่ยวข้องด้วย ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้เก็บข้อมูลดีเอ็นเอของผู้ต้องหา รวมถึงเสื้อผ้ารองเท้าเพื่อนำไปเปรียบเทียบกับรถสามล้อรับจ้างและรถแท็กซี่ในวันเกิดเหตุ ที่สำคัญคือการตรวจสอบข้อมูลทางโทรศัพท์ย้อนหลังอย่างละเอียด โดยถอดชิปเพื่อสืบหาข้อมูลการโทรศัพท์ สามารถกู้ข้อมูลการติดต่อย้อนหลังได้ แม้จะมีการลบไปแล้ว มีการส่งของกลาง เช่น วัสดุประกอบระเบิดที่ตรวจยึดได้ อยู่ระหว่างการรอผลตรวจสอบจากสำนักงานพิสูจน์หลักฐานกลาง (พฐ.) ขณะเดียวกัน ยังต้องสอบปากคำคนขับรถแท็กซี่ เนื่องจากการให้การสับสนและยังไม่ตรงกับพยานหลักฐาน ทั้งนี้ ขอเวลาเจ้าหน้าที่ทำงานอีกหน่อย เบื้องต้นสั่งการให้ตรวจสอบประเด็นอื่นๆอีกมากกว่า 10 ประเด็น รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลจากพยานหลักฐานที่ได้ ส่วนจะออกหมายจับบุคคลใดเพิ่มเติมต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อน
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.กล่าวว่า หลังจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางอุปกรณ์ประกอบระเบิด ได้สั่งการ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร. ขยายผลข้อมูลเบาะแสผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะในการสืบสวนยังมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายคน มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ การสืบสวนคืบหน้าแต่รายละเอียดเปิดเผยไม่ได้ มีผู้ต้องหาหลายคน ทั้งที่หลบหนีอยู่ในประเทศไทยและออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ไม่น่าใช่มือวางระเบิดที่ออกหมายจับกุม เพราะหน้าตาไม่เหมือนกัน แต่ตรวจค้นห้องพักพบพยานหลักฐานเชื่อมโยงหลายอย่างเป็นกลุ่มเดียวกัน หลังจับกุมชายคนดังกล่าวได้ ทำให้ตัดประเด็นต่างๆทิ้งได้มาก แต่ยังไม่อยากบอกว่าเกี่ยวข้องกับสาเหตุใด แต่ไม่น่าใช่การก่อการร้ายข้ามชาติ อาจจะมาจากโกรธแค้นส่วนตัว แก้แค้นแทนพรรคพวกที่ถูกจับกุม
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ตรวจสอบเอกสารพยานหลักฐานพบว่าผู้ต้องหารายนี้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยนานกว่า 1 ปี เจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวผู้ต้องหาคนดังกล่าวตามมาตรา 44 หากครบกำหนดระยะเวลาจะส่งตัวให้พนักงานสอบสวน ส่วนของกลางที่ยึดได้จากห้องพักของผู้ต้องหา ขณะนี้ส่งให้กองพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบทั้งหมดแล้ว เชื่อว่าจะขยายผลเชื่อมโยงผู้ต้องหาคนอื่น ใจเย็นๆ ขอเวลาให้ชุดสืบสวนได้ทำงาน วันนี้ทุกคนทำงานเต็มที่ แข่งกับเวลาให้ได้ตัวคนร้าย ไม่ใช่แรงกดดันจากนอกประเทศ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ วอนสื่อต่างๆอย่านำเสนอข่าวที่ไม่มีการตรวจสอบข้อมูล จะทำให้เกิดผลกระทบบุคคล องค์กร และประเทศ ทำให้รูปคดียากขึ้น การสืบสวนสอบสวนเสียหายบิดเบือนไป ข่าวที่คลาดเคลื่อนไม่ตรวจสอบเชื่อมโยงองค์กรก่อการร้าย ที่ไม่ได้เป็นคู่กรณี ทั้งที่ไม่มีข้อมูลรองรับจะทำให้คนไทยเผชิญหน้าเป็นคู่กรณีนำภัยมาสู่ประเทศ เหมือนชักศึกเข้าบ้าน ถึงเวลาคนไทยจะต้องรักหวงแหนประเทศชาติ มาให้ความร่วมมือตำรวจเพื่อทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติ
นายสมหวัง อัสราษี อดีตเลขานุการ รมช.พาณิชย์ และรองประธาน นปช. ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หลังปรากฏข่าวการจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวต่างชาติว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ระเบิดที่แยกราชประสงค์และท่าเรือสาทร เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า มีความรู้สึกยินดีที่ได้รับข่าวสารจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า สามารถจับตัวผู้ร่วมขบวนการวางระเบิดที่ราชประสงค์ได้แล้ว เป็นเรื่องที่คนไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยข้อมูลและหลักฐานที่จับได้ย่อมนำไปสู่การจับตัวผู้ที่ลงมือได้ในไม่ช้านี้แน่นอน เป็นเรื่องที่น่าดีใจสำหรับคนไทย ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารทุกท่านและนำไปสู่การปิดคดีได้โดยเร็ว พร้อมทั้งยังยืนยันว่า เงินรางวัล 2 ล้านบาท ที่ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น พร้อมที่จะนำเงินสดไปมอบให้ด้วยตัวเองทันที
หางานตามสาขาอาชีพ
JOBBKK.COM © สงวนลิขสิทธิ์ All Right Reserved
jobbkk มีเพียงเว็บเดียวเท่านั้น ไม่มีเว็บเครือข่าย โปรดอย่าหลงเชื่อผู้แอบอ้าง และหากผู้ใดแอบอ้าง ไม่ว่าทาง Email, โทรศัพท์, SMS หรือทางใดก็ตาม จะถูกดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด